Key Metrics คืออะไร ตัววัดผลความสำเร็จของธุรกิจ ต้องดูอะไรบ้าง?

Key Metrics คืออะไร ตัววัดผลความสำเร็จของธุรกิจ

Key Metrics คือ “ตัววัดผล” เป็นหัวใจสำคัญที่ทุกธุรกิจจะต้องมี เพื่อให้สามารถปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายมาก สร้างโอกาสในการเติบโต และเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น ซึ่งแต่ละธุรกิจจะมีการเลือกใช้ Key Metrics แตกต่างกันไปตามลักษณะและวัตถุประสงค์ โดยในบทความนี้ จะพามาทำความรู้จักกับ “ตัววัดผล” กันมากขึ้น Key Metrics คืออะไร มีอะไรบ้างที่ต้องรู้ มาดูกัน

Key Metrics คืออะไร

Key Metrics คือ ตัวเลขหรือข้อมูลสำคัญที่องค์กรใช้เพื่อติดตามและวัดความคืบหน้าของเป้าหมายทางธุรกิจ โดยมีคุณสมบัติหลัก 3 ข้อ

  1. Measurable : Key Metrics จะต้อง “วัดได้” โดยมีค่าตัวเลขหรือเกณฑ์ที่ชัดเจน เช่น เปอร์เซ็นต์ ยอดเงิน จำนวนครั้ง
  2. Relevant : Key Metrics จะต้อง “สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของธุรกิจ” ไม่ใช่ตัวเลขที่ดูดี แต่ไม่มีผลต่อความสำเร็จ
  3. Actionable : Key Metrics จะต้อง “นำไปสู่การตัดสินใจได้” เมื่อเห็นตัวเลขแล้วต้องสามารถปรับกลยุทธ์หรือดำเนินการบางอย่างได้ทันที

Key Metrics แตกต่างจาก Vanity Metrics หรือ ตัวเลขสวย ๆ เช่น ยอดไลก์หรือผู้ติดตามจำนวนมากที่ไม่เคยซื้อของ เพราะตัวเลขเหล่านั้นไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ

ประโยชน์ของ Key Metrics 

1. ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น

Key Metrics คือตัวชี้วัดที่แสดงข้อมูลจริง ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย จำนวนลูกค้าใหม่ หรืออัตราการตอบรับของแคมเปญโฆษณา ซึ่งจะช่วยให้ฝั่งธุรกิจสามารถตัดสินใจเลือกใช้หรือปรับกลยุทธ์ทางการตลาดได้แม่นยำมากขึ้น ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการขาย เช่น ทีมการตลาดที่ใช้ Key Metrics ในการวัดผลแคมเปญโฆษณา ก็จะรู้ว่าโฆษณาชุดใดสร้างยอดขายได้ดี ทำให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างเหมาะสม และเลิกลงทุนในแคมเปญที่ไม่ได้ผล

2. ติดตามความคืบหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

Key Metrics ช่วยให้องค์กรสามารถติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน ซึ่งทำให้รู้ว่าองค์กรกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ หรือควรมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างไร ทำให้เห็นภาพรวมว่าปัจจุบันยอดขายอยู่ที่ระดับใด และสามารถสั่งการหรือสนับสนุนทีมขายได้ทันเวลาเมื่อเห็นแนวโน้มยอดขายลดลง

3. มองเห็นปัญหาได้รวดเร็ว

หากมีการติดตาม Key Metrics อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สามารถมองเห็นความผิดปกติของตัวชี้วัดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เช่น ยอดขายตกลงอย่างรวดเร็ว อัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าเพิ่มขึ้น หรืออัตราการมีส่วนร่วมของลูกค้าบนโซเชียลมีเดียลดลง ซึ่งจะทำให้สามารถวิเคราะห์สาเหตุ และวางแผนแก้ไข ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาพรวมธุรกิจได้

4. วางแผนได้แม่นยำมากขึ้น

Key Metrics ที่มีการเก็บรวบรวมและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต (Trend Analysis) และการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจมองเห็นโอกาสทางธุรกิจและความเสี่ยงได้ชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ทางตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าในอนาคตได้

5. สร้างความโปร่งใสภายในองค์กร

หากองค์กรกำหนด Key Metrics ชัดเจน ก็จะช่วยสร้างความโปร่งใสในการทำงาน เพราะทุกคนเห็นข้อมูลเดียวกัน เข้าใจสถานการณ์เดียวกัน และสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความร่วมมือระหว่างทีม และลดความขัดแย้งหรือความเข้าใจผิดในการดำเนินงาน นอกจากนี้ยังช่วยให้พนักงานทุกคนมีเป้าหมายและแนวทางการทำงานที่ชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย

ประเภทของ Key Metrics 

1. Key Metrics สำหรับฝ่ายขาย (Sales Metrics)

Sales Metrics

1.1 ยอดขายรวม (Sales Revenue)

ยอดขายรวม หมายถึง จำนวนเงินทั้งหมดที่บริษัทได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการในช่วงเวลาหนึ่ง เป็น Key Metrics ที่สำคัญที่สุดในการวัดความสำเร็จของทีมขาย เพราะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีโอกาสเติบโตมากน้อยแค่ไหน ซึ่งยอดขายรวมยังช่วยให้ฝ่ายขายสามารถวางแผนการตลาดในอนาคตได้อีกด้วย

1.2 จำนวนลูกค้าใหม่ (New Customer Acquisition)

จำนวนลูกค้าใหม่ คือ จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการหรือซื้อสินค้าเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาที่กำหนด เป็น Key Metrics ที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจประเมินได้ว่ากลยุทธ์การตลาดมีความสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ได้มากแค่ไหน ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ได้ในอนาคต

1.3 อัตราการปิดการขาย (Conversion Rate)

อัตราการปิดการขาย เป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็น Key Metrics ที่สำคัญต่อการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการขายและทักษะของทีมขาย เพราะยิ่งอัตราสูง ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของทีมการตลาด และประสิทธิภาพของกลยุทธ์ทางการตลาด

1.4 ระยะเวลาในการปิดการขาย (Sales Cycle Length)

ระยะเวลาในการปิดการขาย คือระยะเวลาที่ใช้ตั้งแต่เริ่มติดต่อกับลูกค้าไปจนถึงปิดการขายสำเร็จ เป็น Key Metrics ที่จะทำให้เห็นประสิทธิภาพของกระบวนการขาย หากระยะเวลานานเกินไป อาจต้องปรับปรุงข้อเสนอหรือวิธีการติดต่อลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น

1.5 อัตราการสูญเสียลูกค้า (Customer Churn Rate)

อัตราการสูญเสียลูกค้า หมายถึง เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่เลิกใช้บริการหรือหยุดซื้อสินค้าจากบริษัทในช่วงเวลาหนึ่ง แสดงถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น คุณภาพสินค้าไม่ดี บริการหลังการขายไม่เป็นที่พอใจ หรือคู่แข่งมีข้อเสนอที่ดีกว่า ซึ่งการติดตาม Key Metrics นี้ จะช่วยให้ทีมขายปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมได้ อาทิ หากธุรกิจมีปัญหารอคิวนาน ก็อาจจะทำแอพจองคิวออนไลน์ มาเพื่อแก้ปัญหานี้ 

1.6 อัตราการตอบกลับ (Response Rate)

อัตราส่วนของลูกค้าที่ตอบกลับต่อข้อความ อีเมล หรือการสื่อสารต่าง ๆ จากทีมขาย ตัวชี้วัดนี้บอกว่าการสื่อสารของทีมขายมีประสิทธิภาพแค่ไหน ลูกค้ารู้สึกสนใจหรือมีปฏิสัมพันธ์มากน้อยเพียงใด อัตราการตอบกลับสูงแสดงถึงการสื่อสารที่ตรงจุดและน่าสนใจ

1.7 มูลค่ายอดขายเฉลี่ยต่อดีล (Average Deal Size)

เป็นมูลค่าเฉลี่ยของแต่ละดีลที่ทีมขายปิดได้ ซึ่ง Key Metrics จะช่วยให้เข้าใจว่าแต่ละดีลมีมูลค่าประมาณเท่าไร หากต้องการเพิ่มรายได้รวม ต้องปรับกลยุทธ์อย่างไรบ้าง เช่น เน้นกลยุทธ์การขายให้ได้ดีลที่มูลค่าสูงขึ้นหรือเพิ่มจำนวนดีล

1.8 อัตราการรักษาลูกค้า (Customer Retention Rate)

Key Metrics นี้ จะบอกเปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งการรักษาลูกค้าเดิม จะช่วยลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้กับธุรกิจ เช่น การทำบัตรสะสมแต้ม เพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ๆ หรือการสร้างบริการหลังการขายที่น่าประทับใจ เป็นต้น

2. Key Metrics สำหรับฝ่ายการตลาด (Marketing Metrics)

Marketing Metrics2.1 อัตราการเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic)

Key Metrics นี้ หมายถึง จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นตัวบ่งชี้เบื้องต้นถึงความสนใจและการเข้าถึงแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้น จะสะท้อนถึงความสำเร็จในการทำการตลาด

2.2 อัตราการแปลง (Conversion Rate)

เป็น Key Metrics ที่แสดงเปอร์เซ็นต์ของผู้ทำกิจกรรม เช่น กรอกฟอร์ม สั่งซื้อสินค้า หรือลงทะเบียนรับข้อมูล ยิ่งมีอัตราการแปลงสูงมากแค่ไหน ยิ่งบ่งชี้ว่ากลยุทธ์ทางการตลาดประสบความสำเร็จ สามารถโน้มน้าวใจกลุ่มเป้าหมายได้จริง 

2.3 ค่าใช้จ่ายต่อการได้ลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Cost หรือ CAC)

คือค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการทำการตลาด เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ เช่น ค่าโฆษณา ค่าแรงพนักงาน และค่าเครื่องมือการตลาด การใช้ Key Metrics นี้ จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจประเมินความคุ้มค่าของงบประมาณการตลาด และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมได้

2.4 อัตราการรักษาลูกค้า (Customer Retention Rate)

เป็นเปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ หรือใช้บริการซ้ำในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่ง Key Metrics นี้บอกถึงความภักดีของลูกค้า และประสิทธิภาพของกิจกรรมการตลาดที่เน้นรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น การทำ Loyalty Program หรือการส่งข้อมูลข่าวสารผ่านอีเมล

2.5 อัตราการคลิกโฆษณา (Click-Through Rate หรือ CTR)

เป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เห็นโฆษณาแล้วคลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม ยิ่ง CTR สูงมากแค่ไหน ก็แสดงว่าโฆษณาดึงดูดความสนใจและตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากเท่านั้น โดยการวัด Key Metrics นี้ จะช่วยให้ปรับแต่งข้อความและดีไซน์โฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

2.6 จำนวนโอกาสในการขาย (Marketing Qualified Leads หรือ MQLs)

หมายถึง จำนวนผู้ที่แสดงความสนใจและมีศักยภาพที่จะกลายเป็นลูกค้าจริง เช่น ผลจากการเปิดให้ลงทะเบียนทดลองใช้ หรือการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่ง Key Metrics นี้ จะช่วยให้ทีมการตลาดปรับกลยุทธ์ที่เพิ่มโอกาสขาย ก่อนส่งต่อไปยังทีมขายได้ 

2.7 อัตราการแปลงโอกาสขายเป็นลูกค้า (Lead Conversion Rate)

Key Metrics นี้ คือ เปอร์เซ็นต์ที่สามารถปิดเป็นการขายได้จริง หากมีอัตราการแปลงโอกาสขายเป็นลูกค้าต่ำ ทีมการตลาดอาจต้องปรับปรุงกลยุทธ์ทางการขายใหม่

2.8 มูลค่าตลอดอายุของลูกค้า (Customer Lifetime Value หรือ CLV)

คือรายได้ทั้งหมดที่ลูกค้าจะสร้างให้กับบริษัทในช่วงเวลาที่เป็นลูกค้า ซึ่งการวัด CLV จะช่วยให้ทีมการตลาดรู้ว่าควรลงทุนกับลูกค้ากลุ่มใดมากที่สุด และสามารถวางแผนการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อซ้ำในระยะยาวได้

2.9 อัตราการยกเลิกการสมัครหรือเลิกติดตาม (Churn Rate)

Key Metrics นี้ หมายถึง เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่หยุดใช้บริการหรือยกเลิกการรับข่าวสาร เช่น ยกเลิกสมาชิกอีเมล การติดตามอัตรา Churn Rate ช่วยให้ทีมการตลาดเข้าใจปัญหา และหาทางปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า

2.10 การมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย (Social Media Engagement)

เป็น Key Metrics ที่วัดการโต้ตอบกับโพสต์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น ยอดไลก์ ยอดแชร์ จำนวนคอมเมนต์ หรือการกดติดตาม หากมียอดเหล่านี้สูง แสดงว่าเนื้อหาการตลาดดึงดูดใจ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายได้จริง

3. Key Metrics สำหรับฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service Metrics)

Customer Service Metrics3.1 เวลาตอบกลับเฉลี่ย (Average Response Time)

หมายถึง เวลาที่เจ้าหน้าที่ใช้ตอบกลับคำถาม หรือข้อร้องเรียนของลูกค้า หากตอบกลับเร็ว จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้ ในขณะเดียวกัน หากใช้เวลาตอบกลับนาน อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่พอใจและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์แบรนด์ได้

3.2 เวลาการแก้ไขปัญหาเฉลี่ย (Average Resolution Time)

Key Metrics นี้ คือ เวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือเคลียร์ข้อร้องเรียนของลูกค้าจนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพและความพร้อมในการแก้ไขปัญหาของทีมบริการ

3.3 อัตราการแก้ไขปัญหาในครั้งแรก (First Contact Resolution Rate หรือ FCR)

เป็นเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อทีมบริการสามารถแก้ไขปัญหาลูกค้าได้ตั้งแต่การติดต่อครั้งแรก หาก Key Metrics นี้สูงแสดงว่าทีมบริการมีความเชี่ยวชาญ และสามารถแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

3.4 คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Score หรือ CSAT)

คือ คะแนนที่ลูกค้ามอบให้หลังจากได้รับบริการ โดยปกติจะใช้แบบสอบถามสั้น ๆ เช่น การให้คะแนนจาก 1–5 (5 คือ ดีมาก) หรือให้ดาวจาก 1–10 (10 คือ ดีมาก) เป็น Key Metrics ที่สะท้อน Customer Experience ที่มีต่อบริการของเรา ซึ่งสามารถนำข้อมูลนี้ไปปรับปรุงคุณภาพการบริการได้

3.5 คะแนนความภักดีของลูกค้า (Net Promoter Score หรือ NPS)

เป็น Key Metrics ที่ใช้วัดความเต็มใจของลูกค้าในการแนะนำแบรนด์หรือบริการให้คนอื่นผ่านคำถามเชิงประเมิน เช่น “คุณจะแนะนำเราให้เพื่อนหรือคนรู้จักมากน้อยแค่ไหน?” หาก NPS สูงก็จะหมายถึงลูกค้ามีความภักดีและพร้อมเป็นตัวแทนบอกต่อ

3.6 อัตราการละทิ้ง (Customer Churn Rate)

เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่หยุดใช้บริการหรือเลิกเป็นลูกค้าในช่วงเวลาหนึ่ง หากมี Key Metrics นี้สูงอาจบ่งชี้ถึงปัญหาคุณภาพบริการ หรือความไม่พึงพอใจ ควรติดตามเพื่อหาแนวทางลดการสูญเสียลูกค้า

3.7 จำนวนคำร้องเรียน (Complaint Rate)

จำนวนคำร้องเรียนที่ได้รับเทียบกับจำนวนลูกค้าทั้งหมด เป็น Key Metrics ที่ใช้ชี้วัดคุณภาพของสินค้าและบริการ ช่วยให้ทีมบริการลูกค้าและฝ่ายอื่น ๆ สามารถวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

3.8 อัตราการตอบกลับภายในเวลาที่กำหนด (SLA Compliance Rate)

Key Metrics ที่ใช้วัดความสามารถของทีมบริการในการตอบกลับและแก้ไขปัญหาภายในระยะเวลาที่กำหนด (Service Level Agreement) ซึ่งจะช่วยรักษามาตรฐานการบริการและสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้ หากไม่ปฏิบัติตาม SLA อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจและส่งผลเสียต่อชื่อเสียง

3.9 อัตราการติดต่อซ้ำ (Repeat Contact Rate)

จำนวนครั้งที่ลูกค้าติดต่อกลับมาเกี่ยวกับปัญหาเดิม เป็น Key Metrics ที่ควรมีอัตราต่ำ เพราะหมายความว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว แต่หากมีอัตราสูง หมายความว่าอาจต้องปรับปรุงกระบวนการแก้ไขปัญหาและการสื่อสารกับลูกค้า

4. Key Metrics สำหรับ E-Commerce และธุรกิจออนไลน์

Key Metrics สำหรับ E-Commerce 4.1 อัตราการแปลง (Conversion Rate)

เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ทำการซื้อสินค้า หรือดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนด (เช่น สมัครสมาชิก ลงทะเบียน ฯลฯ) เป็น Key Metrics สำคัญที่บ่งบอกประสิทธิภาพของเว็บไซต์และแคมเปญการตลาด หากมีอัตราการแปลงสูง หมายถึงการทำให้ผู้ชมกลายเป็นลูกค้าได้ดี

4.2 มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (Average Order Value หรือ AOV)

คือค่าเฉลี่ยของยอดเงินที่ลูกค้าจ่ายต่อคำสั่งซื้อหนึ่งครั้ง เป็น Key Metrics ที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจทราบถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า และสามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเพิ่ม AOV ได้ เช่น การขายสินค้าเสริม หรือโปรโมชั่นซื้อครบแถม

4.3 อัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า (Cart Abandonment Rate)

Key Metrics นี้ คือ เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่ใส่สินค้าในตะกร้าแล้วไม่ดำเนินการชำระเงิน ยิ่งตัวเลขสูง ก็แสดงว่ามีปัญหาในขั้นตอนชำระเงินหรือมีความไม่มั่นใจในการซื้อ ซึ่งเจ้าของธุรกิจสามารถแก้ไขด้วยการส่งอีเมลเตือน หรือปรับปรุง UX/UI ให้สะดวกต่อลูกค้ามากขึ้น

4.4 อัตราการกลับมาซื้อซ้ำ (Customer Retention Rate)

เป็นเปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่กลับมาซื้อสินค้าอีกครั้งหลังจากการซื้อครั้งแรก ซึ่ง Key Metrics นี้ จะช่วยประเมินความภักดีของลูกค้าและประสิทธิภาพการตลาดหลังการขายได้

4.5 มูลค่าตลอดชีพของลูกค้า (Customer Lifetime Value หรือ CLV)

จำนวนเงินที่ลูกค้าใช้จ่ายกับธุรกิจในช่วงเวลาที่ยังเป็นลูกค้า โดยการทราบ Key Metrics นี้ จะช่วยให้ทีมสามารถวางแผนงบประมาณการตลาดและการให้บริการลูกค้าได้อย่างเหมาะสม 

4.6 อัตราการแปลงจากช่องทางการตลาดต่าง ๆ (Channel Conversion Rate)

เป็น Key Metrics ที่ใช้วัดอัตราการแปลงช่องทางต่าง ๆ ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของผู้เข้าชม เช่น Google Ads, Facebook Ads, Email Marketing เป็นต้น ช่วยให้รู้ว่าช่องทางใดได้ผลดีที่สุดและคุ้มค่าสำหรับการลงทุนมากที่สุด

4.7 ค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้า (Customer Acquisition Cost หรือ CAC)

Key Metrics นี้ คือ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ธุรกิจต้องใช้เพื่อหาลูกค้าใหม่ หากCAC ต่ำแสดงว่าธุรกิจสามารถหาลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่า

4.8 อัตราการคืนสินค้า (Return Rate)

คือเปอร์เซ็นต์ของสินค้าที่ถูกคืนเทียบกับสินค้าที่ขายได้ หากมีตัวเลขสูง อาจบ่งชี้ถึงปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า ความคาดหวังของลูกค้า หรือกระบวนการจัดส่ง โดยจะต้องมีการวิเคราะห์สาเหตุและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

4.9 ระยะเวลาเฉลี่ยในการจัดส่ง (Average Delivery Time)

Key Metrics ที่ใช้วัดระยะเวลาตั้งแต่การสั่งซื้อจนสินค้าถึงมือลูกค้า ซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ที่ธุรกิจต้องควบคุมระยะเวลาให้สั้นมากที่สุด (ส่งเร็วที่สุด) เพื่อรักษาฐานลูกค้า

4.10 อัตราการคลิก (Click-Through Rate หรือ CTR)

เป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เห็นโฆษณา หรือโปรโมชั่น แล้วคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ ซึ่ง Key Metrics นี้ จะช่วยวัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดออนไลน์ได้ หาก CTR สูง แปลว่าโฆษณาหรือคอนเทนต์น่าสนใจและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

4.11 อัตราการเลิกติดตาม (Unsubscribe Rate)

เป็น Key Metrics ที่ใช้วัดเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ยกเลิกการรับข่าวสารหรืออีเมลการตลาด หากตัวเลขสูงอาจ แสดงว่าเนื้อหาไม่ตรงใจหรือถูกส่งบ่อยเกินไป ต้องมีการปรับปรุงเนื้อหาและความถี่การส่งเพื่อรักษาผู้ติดตาม

4.12 จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ (Website Traffic)

Key Metrics ที่ใช้สำหรับการวัดจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งจะทำให้มองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ โดยทีมการตลาดควรวิเคราะห์ร่วมกับพฤติกรรม เช่น เวลาที่ใช้ในเว็บไซต์ หรือหน้าที่เข้าชม เพื่อสร้างกลยุทธ์เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมให้มากขึ้นไปอีก 

นอกจากนี้ ยังมี KPI Online คือ Key Metrics ที่ใช้วัดผลและประเมินความสำเร็จของกิจกรรมหรือโครงการที่ทำผ่านช่องทางออนไลน์ อาจเป็นตัวเลขหรือค่าสถิติที่แสดงถึงผลลัพธ์ เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์, จำนวนการคลิกโฆษณา, ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ หรือจำนวนผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย เป็นต้น

วิธีเลือก Key Metrics ให้เหมาะกับธุรกิจ

  1. ผูกกับเป้าหมายหลักขององค์กร : เลือกตัวชี้วัดที่สะท้อนความสำเร็จตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของรายได้ การลดต้นทุน หรือการรักษาลูกค้า
  2. เลือก Key Metrics ที่วัดได้จริง : ต้องมีข้อมูลชัดเจนจากแหล่งที่เชื่อถือได้
  3. เลือกตัวที่ปรับกลยุทธ์ได้ : ตัวเลขต้องนำไปใช้ตัดสินใจและเปลี่ยนแปลงแผนการทำงานได้ทันที
  4. หลีกเลี่ยง Vanity Metrics : ตัวเลขที่ดูดีแต่ไม่สร้างผลลัพธ์ เช่น จำนวนผู้ติดตามที่ไม่เคยซื้อของ

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Key Metrics

  • วัด Key Metrics มากเกินไป จนสับสนและเสียเวลา
  • เลือกตัวเลขผิด ที่ไม่สะท้อนเป้าหมายธุรกิจ
  • ไม่ติดตามอย่างสม่ำเสมอ ทำให้แก้ปัญหาช้า
  • ไม่มีการนำข้อมูลไปใช้จริง เก็บข้อมูลไว้แต่ไม่ปรับกลยุทธ์

เครื่องมือช่วยติดตาม Key Metrics

  • Google Analytics (GA4) : ใช้สำหรับการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์
  • CRM Tools : เช่น Salesforce, HubSpot เป็นเครื่องมือที่ระบบ CRM ใช้จัดการข้อมูลลูกค้าและติดตามการขาย
  • Power BI หรือ Tableau : ใช้สำหรับการทำแดชบอร์ดวิเคราะห์ข้อมูล
  • Marketing Automation : เช่น Mailchimp, ActiveCampaign ใช้สำหรับการติดตามประสิทธิภาพแคมเปญแบบอัตโนมัติ
 

Key Metrics เป็นเหมือนเข็มทิศของธุรกิจ ช่วยให้คุณรู้ว่ากำลังเดินมาถูกทางหรือไม่ และควรปรับทิศทางเมื่อไหร่ การเลือกตัวชี้วัดที่ถูกต้อง วัดผลอย่างสม่ำเสมอ และใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

Discover more from BeTask

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading